ไม่กวนไม่ใช่ มูรินโญ่
โชเซ่ มูรินโญ่ ตอบคำถามนักข่าวที่ถามเขาว่า "เมื่อ 4 ปีก่อน คุณเคยพูดว่า จะไม่มีทางคุมทีมสเปอร์ส เป็นอันขาด เพราะรักแฟนบอลเชลซีมาก แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น"
มูรินโญ่ สวนกลับไปทันที "นั่นมันก่อนที่ผมจะโดนไล่ออก"
ตามด้วยเสียงหัวเราะของบรรดานักข่าวทั้งห้องเพรส
#มูรินโญ่สไตล์ของแท้กลับมาแล้ว
#มูรินโญ่ #สเปอร์ส #เชลซี #พรีเมียร์ลีก
วีเออาร์
Ads Delivery - รับสอนยิงAdsโฆษณาสำหรับมือใหม่?
Operating as usual
ชายผู้ไร้เกียรติยศแม้พยายามสักเท่าใด...เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
คุณเชื่ออะไรผมมั๊ยครับ ? ผมคิดว่าจริงๆ แล้ว เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ รู้ตัวตั้งนานแล้วว่า เวลาของเขากับ สเปอร์ส กำลังจะหมดลง เพียงแค่ว่า "เมื่อไหร่" ก็เท่านั้น
จำได้มั๊ยครับ เราเคยบอกพวกคุณเสมอๆ ว่า ทีมๆ นึงจะมีชีวิตการใช้งานได้อย่าง "เต็มประสิทธิภาพ" ราวๆ 4-6 ปีเท่านั้นก็ต้องสร้างทีมขึ้นมาใหม่
ผมเคยพูด เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เคยพูด ไม่นานมานี้ ซีเนอดีน ซีดาน ก็เคยพูด แล้วคุณคิดหรอครับ ? ว่า โปเช็ตติโน่ จะไม่รู้เลยว่า ทีมของเขานั้นมันถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว
ลองย้อนความคิดของคุณดูครับ 5 เดือนหลังผ่านเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดชิงชนะเลิศ จากทีมที่เคยสร้างความครั่นคร้ามไปทั่วยุโรป และตัวกุนซือเองก็เนื้อหอมแบบสุดๆ มาวันนี้เขากลายเป็นคนตกงานเรียบร้อย
"ผมอยู่วงการฟุตบอลมานานพอที่จะรู้ว่าชีวิตการเป็นโค้ชทุกคนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เมื่อคุณทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ โค้ชก็ต้องไป มันก็ง่ายๆ แค่นั้น เราต้องรับผิดชอบต่อผลการแข่งขัน"
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนชื่อของเขายังพัวพันอยู่กับเก้าอี้ เรอัล มาดริด ในวันที่ ซีเนอดีน ซีดาน ยังไม่กลับมา แต่เขาก็ทิ้งท้ายแบบคารมคมคายโรแมนซ์แบบสุดๆ ว่า "มันก็เหมือนกับคุณเดินอยู่กับภรรยาตามท้องถนน แล้วมีคนชื่นชมคุณเพราะคุณหล่อมากนั่นแหล่ะ แต่สุดท้ายผมก็ยังรักภรรยาผม"
มาวันนี้ไม่มีแม้แต่คำลา ไม่มีแม้แต่การแถลงข่าว มีเพียงแถลงการณ์จากหน้าเว็บไซต์ของสโมสรด้วยคำพูดแค่ 208 คำจาก ดาเนี่ยล เลวี่ ที่ระบุทิ้งท้ายว่าเขา "จะเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของทีมเสมอ"
แค่นั้นจริงๆ...
โปเช็ตติโน่ หรือว่า "พอช" ที่เราคุ้นหูกันถูกบ่มฟักมาในฐานะกุนซือที่มัธยัสถ์มากๆ นะครับ เขาสามารถทำงานภายใต้ขีดจำกัดทางการเงินได้ดีด้วยการใช้กลุ่มดาวรุ่ง หรือว่า อะคาเดมี่สโมสรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
"ที่ นีเวลล์ส ที่ๆ ผมเติบโตขึ้นมานั้น เราถูกปลูกฝังในเรื่องการให้ความสำคัญกับทีมอะคาเดมี่เป็นอย่างมาก และนั่นเป็นสิ่งที่ติดตัวผมมาจนถึงทุกวันนี้"
งานแรกของเขาที่ เอสปันญ่อล ในฐานะกุนซือเต็มตัว เขาเข้าไปรับงานในช่วงที่สโมสรเกิดภาวะถังแตก และนั่นทำให้เขาไม่มีทางเลือกมากนักในการสร้างทีม แต่สุดท้ายเขาก็ทำผลงานออกมาได้ดีพอตัว
หลังย้ายสู่อังกฤษ เขาเริ่มงานที่ เซนต์ แมร์รี่ส์ สเตเดี้ยม และที่นี่เอง คือ สถานที่สร้างชื่อของเขาในเมื่อระบบอะคาเดมี่ของ "นักบุญแดนใต้" ขึ้นชื่อลือชาอยู่แล้วในเรื่องการปั้นดาวรุ่ง ขณะเดียวกันสโมสรก็เริ่มมีงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ ในการเสริมทัพ
กระทั่งที่สุดแล้วมาร่วมหัวจมท้ายกับ สเปอร์ส นาน 5 ปีครึ่ง ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังไร้ซึ่งเกียรติประวัติใดๆ มีเพียงแค่คำชื่นชมว่า "เล่นเกมรุก"..."เล่นบอลสวย"..."ขาดโชค" ก็เท่านั้น
ย้อนกลับไปที่พารากราฟแรกๆ ที่ผมบอกว่า ทีมๆ นึงมีสภาวะการใช้งานของมันอยู่ในตัวอยู่แล้ว และถ้าคุณสังเกตก็จะเห็นว่า สเปอร์ส ชุดนี้อยู่ในมือเขามาแล้ว 5 ปีครึ่งเลยทีเดียว
เริ่มต้นจากไลน์อัพชุดแรกในทีมของเขาเมื่อ 5 ปีก่อน
อูโก้ โยริส - ไคล์ นอห์ตัน, ยูแนส กาบูล, เอริค ดายเออร์, แดนนี่ โรส - นาบิล เบนตาเล้บ, เอเตียน กาปู - เอริค ลาเมล่า, คริสเตียน เอริคเซ่น, อารอน เลนน่อน - เอ็มมานูเอล อเดบายอร์
คุณเห็นอะไรครับ ?
5 จาก 11 คนนั้นยังคงอยู่ในทีมชุดนี้ไงครับ และนั่นเป็นการบ่งบอกว่า ช่วงเวลาผลิดอกออกผลของทีมชุดนี้มันผ่านไปแล้ว แม้ที่ผ่านมาจะมีการถ่ายเลือดอยู่เป็นระยะๆ ก็ตาม
อย่าลืมนะครับ 2018/19 หรือง่ายๆ ว่า 2 ตลาด ก็ คือ 1 ปี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2018 และหน้าหนาวปี 2019 เขาไม่ได้ใช้เงินในการถ่ายทีมเลยแม้แต่แอะเดียว เป็นขุมกำลังหน้าเดิมๆ ทั้งหมดเลยก็ว่าได้
นั่นไงครับที่ผมพยายามบอกคุณเสมอๆ ว่า ทีมๆ หนึ่งมันมีวัฏจักรของมัน และคุณต้องการ "ความเปลี่ยนแปลง" นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเริ่มผิดข้องหมองใจกับ เลวี่ มากขึ้น จากการตัดงบประมาณเสริมทัพเพื่อไปสร้างสนามใหม่
เรื่อง "ทางตัน" ของทีมมันเกิดขึ้นได้กับทุกคนนะครับ โชเซ่ มูรินโญ่ เองเคยเกิดขึ้น 2 รอบที่ เชลซี, เรอัล มาดริด และแมนฯ ยูไนเต็ด, เยอร์เก้น คล็อปป์ เคยถึงจุดอิ่มตัวกับ ดอร์ทมุนด์ หลังได้แค่รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
อันโตนิโอ คอนเต้ กับ ยูเวนตุส และเชลซี แม้กระทั่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ออกจาก บาร์เซโลน่า หลังคว้าแชมป์มามากมายในระยะเวลาแค่ 3 ปี นั่นก็เพราะเขารู้ดีว่า มันจะต้องสร้างทีมขึ้นมาใหม่ ดังนั้นเปลี่ยนทีมเลยดีกว่า
เราถึงได้พูดกันเสมอๆ ว่า โค้ชอย่าง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่คุม แมนฯ ยูไนเต็ด นานๆ หรือ อาร์เซน เวนเกอร์ ที่คุมอาร์เซน่อล แบบชั่วชีวิต คือ โค้ชที่เก่งมาก ที่สามารถรักษาระดับความมุ่งมั่นของทีม ถ่ายเลือดทีมได้ตลอดเวลา
18 เดือนก่อนอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเลยนะครับ "พอช" ได้รับความสนใจจาก เรอัล มาดริด, แมนฯ ยูไนเต็ด, บาเยิร์น มิวนิค, ยูเวนตุส และเปแอสเช แต่สุดท้าย เลวี่ ก็รั้งเขาไว้สำเร็จด้วยการขยายสัญญา
อย่างไรก็ตาม ณ บัดนาว สถานะของ "พอช" ในสายตาผู้บริหารหลายๆ ทีมเริ่มเปลี่ยนไป จากกุนซือหนุ่มยอดฝีมือ กลายเป็นคนที่ "ไปไม่ถึงดวงดาว" เสียที และนั่นทำให้ตกอยู่ในเครื่องหมายคำถาม
เก้าอี้ที่ บาวาเรียน ยังว่างอยู่หลัง นิโก้ โควัช โดนอัปเปหิ และบอร์ดบริหารของ "เสือใต้" คงไม่ให้ ฮานซี่ ฟลิค เป็นกุนซือถาวรของทีมแน่ๆ ทว่าความพ่ายแพ้ 2-7 ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่เจอกันโดยตรง ทำให้บอร์ดหลายๆ คนเคลือบแคลงฝีมือของ โปเช็ตติโน่
อย่าลืมนะครับว่าที่ถ้ำเสือใต้ พวกเขาไม่ได้ต้องการแค่คว้าแชมป์ บุนเดสลีกา หรือว่า เดเอฟเบ โพคาล แน่ๆ เพราะไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ไล่ โควัช ออกหรอก ทว่าพี่เสือ คือ ทีมที่ขอลุ้นแชมป์ในทุกๆ รายการ
พอไปไล่ดูโปรไฟล์เกียรติประวัติตลอด 10 ปีที่คุมทีมมาของ "พอช" จำนวนโทรฟี่เท่ากับ 0
แนวโน้มของขาใหญ่ถ้ำเสือใต้เอนเอียงไปทาง เอริค เทน ฮาก อดีตโค้ชชุด B ของพวกเขามากกว่า เพราะพิสูจน์ฝีมือมาแล้ว แถมยังนับเป็น "คนใน" ที่รู้เรื่องราวของ บาเยิร์นฯ เป็นอย่างดี
เนื่องจากยอดโค้ชของ อาแจ๊กซ์ คนนี้เคยเป็นเทรนเนอร์บาเยิร์นฯ ชุด B มาก่อนในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก่อนจะย้ายไปสร้างชื่อกับ อูเทร็คช์ และตามด้วย อาแจ๊กซ์ ที่เขาพาทีมเกือบเป็นแชมป์ยุโรป
อีกกระแสข่าวหนึ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่า "พอช" รู้ตัวว่า ชะตาของเขาใกล้จะขาด คือ เรื่องการจัดทีมในช่วงหลังๆ กับคำยืนยันเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนักเตะในทีมว่า "ห่างเหินกัน" ซึ่งผมขอยืนยันว่าคือ "เรื่องจริง"
มันเหมือนกับคุณอยู่กับใครสักคนมานานๆ มากไงครับ จนพูดแต่เรื่องซ้ำเดิมๆ จนนักเตะเองก็เบื่อ เริ่มที่จะไม่ให้ใจกับเขา แถมแม้ไม่พูดแต่ก็มีความคิดที่ว่า ถ้านายกูพูดถูกทุกเรื่องก็คงเป็นแชมป์ไปแล้ว แต่นี่ไม่เคยได้เลย
แม้จะเซ็นสัญญาใหม่กับทีม แต่ "พอช" เริ่มคุมทีมซ้อมเองน้อยลง คุยกับนักเตะน้อยลง แทงกั๊กในเรื่องการย้ายทีมมากขึ้น ราวกับว่า เขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงกับ สเปอร์ส ให้ได้แชมป์แล้ว บวกด้วย เลวี่ ที่เริ่มไม่เสริมทัพให้อีก
ทว่าไปๆ มาๆ บางทีหลังจาก มูรินโญ่ ที่เข้ามารับงานต่อจากเขาจะเลิกเคว้งแล้ว บางที โปเช็ตติโน่ อาจจะกลายเป็นคนต่อไปที่ "เคว้ง" อันเนื่องมาจากการ "ขาดเกียรติยศ" ของเขาเอง
ไล่ดูจากทีมที่เคยแอบเหล่เขา...
บาเยิร์นฯ - อยากจะรอ เทน ฮาก ตอนซัมเมอร์
เรอัล มาดริด - ซีดาน เริ่มเข้ารูปเข้ารอย
ยูเวนตุส - ซาร์รี่ พึ่งเริ่มงาน แถมอยู่ในขั้นโอเค
แมนฯ ยูไนเต็ด - ยังคงหนุน โซลชา
เปแอสเช - ตราบใดที่ยังได้ลุ้นชปล. ทูเคิ่ล ก็ยังปลอดภัย
อ้าว ! ไล่ไปไล่มาหมดซะละ ไทม์มิ่งมันเสียไปหมดละ จากกุนซือเนื้อหอม กลายเป็นโค้ชที่ไม่รู้จะไปทางไหนแล้ว ส่วนทีมอื่นๆ ก็ยังไม่มีทีมไหนเก้าอี้ร้อนในช่วงนี้เสียด้วย ถ้าไม่นับอริอย่าง อาร์เซน่อล
ไม่ใช่ว่ามีแต่ข้อเสีย แต่จริงๆ แล้ว "พอช" เป็นคนที่มีข้อดีหลายๆ ข้อมากๆ อาทิ เล่นเกมรุก เล่นบอลสวยงาม ให้โอกาสเด็ก ควบคู่ไปกับผลการแข่งขัน ทว่าสุดท้ายไม่ได้แชมป์อะไรมันก็ไม่มีความหมายเหมือนที่ มูรินโญ่ เคยพูด
ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในอังกฤษ เขาสร้างคุณประโยชน์ให้ ทีมชาติอังกฤษ แบบที่ใครหลายๆ คนลืมไปเสียด้วยซ้ำ นั่นก็ คือ
ริคกี้ แลมเบิร์ต, แอนดรอส ทาวน์เซ่นด์, เจย์ โรดริเกซ, อดัม ลัลลาน่า, ลุค ชอว์, คาลั่ม แชมเบอร์ส, นาเธเนียล ไคลน์, แฮร์รี่ เคน, ไรอัน เมสัน, เดเล่ อัลลี่, เอริค ดายเออร์, แดนนี่ โรส, เจมส์ วอร์ด-พราวส์, คีแรน ทริปเปียร์ รวมถึง แฮร์รี่ วิงค์ส
ชื่อเหล่านี้ติดทีมชาติ หรือ แจ้งเกิดในยุค โปเช็ตติโน่ แทบทั้งสิ้น
ครั้งหนึ่ง แกรี่ เนวิลล์ เคยพูดถึง โปเช็ตติโน่ ไว้ว่า
"ในมุมมองของผม ยูไนเต็ด ต้องการกุนซือที่มีองค์ประกอบ 3 สิ่ง 1.สนับสนุนเด็กๆ จากอะคาเดมี่ 2.เล่นฟุตบอลเอ็นเตอร์เทน 3.ชนะในเกม ซึ่งทั้งหมดผมเห็นในตัว โปเช็ตติโน่"
"คุณอาจจะบอกว่า เขายังไม่เคยคว้าแชมป์อะไรเลยตลอดชีวิตของเขานะ แต่คุณก็เห็นนี่ว่า ยูไนเต็ด ใช้ผู้จัดการทีมที่เคยคว้าแชมป์ยุโรป, คว้าแชมป์ลีก, มีประสบการณ์ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แล้วเป็นยังไงล่ะ ?"
จริงๆ แล้วผมจะบอกว่า "พอช" ไม่ได้ทำอะไรผิดที่ สเปอร์ส เลย ในทางกลับกันเขา "สร้าง" อะไรหลายๆ ให้กับ สเปอร์ส มากเกินกว่าที่ผู้คนจะเข้าใจ และเลือกที่จะยอมรับด้วยซ้ำ
จาก ไวท์ ฮาร์ท เลน สู่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม, พา สเปอร์ส กลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ และการันตี Top 4 ทุกปี, ผลิตนักเตะจากอะคาเดมี่มาให้ สเปอร์ส ได้ใช้สอย, เปลี่ยน สเปอร์ส จากทีมเกรด B เป็นทีมหัวแถวของประเทศ
เหนืออื่นใด เขาทิ้ง แฮร์รี่ เคน "ว่าที่ดาวยิงสูงสุดตลอดกาล" ของทีมชาติอังกฤษ เอาไว้ให้กุนซือคนต่อจากเขาได้ใช้งานอีกด้วย
ความผิดเดียวของเขาที่เขาเองก็คงไม่เข้าใจก็ คือ ทำไมเรายังไม่มีแชมป์อะไรสักใบ ? เพราะนั่น คือ การ "ปลดล็อค" ชีวิตการเป็นกุนซือเลยก็ว่าได้
มันก็เหมือนกับตอนที่ป๋าออกจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด, เหมือนเป๊ป ที่ออกจาก คัมป์ นู, เหมือนตอน คล็อปป์ ออกจากดอร์ทมุนด์ นั่นแหล่ะครับ แตกต่างกันที่เพียงออกแบบไหน
เพราะจริงๆ แล้ว บางทีฟุตบอลก็อาจจะต้องการเพียงแค่อะไรใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น สโมสร, นักเตะ หรือแม้กระทั่งตัวผู้จัดการทีม
..แค่นั้นเอง...
#โปเช็ตติโน่ #สเปอร์ส #มูรินโญ่ #พรีเมียร์ลีก #เลวี่ #วีเออาร์ #บอลไทย #บอกนอก
เผยหมดเปลือก อดีตแมวมองผู้ค้นพบ วาร์ดี้, มาห์เรซ และก็องเต้
เชื่อว่าแฟนบอลพรีเมียร์ลีกคงทราบดีหากเอ่ยชื่อ สตีฟ วอลช์ อดีตหัวหน้าแมวมองของ เลสเตอร์ ซิตี้ เพราะเขาคนนี้ได้รับการชื่นชมเป็นอย่างมากจากความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของ "จิ้งจอกสยาม" ที่ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015/16 แบบหักปากกาเซียนทุกสำนักกระจุยกระจาย
เนื่องด้วยแมวมองคนนี้เป็นคนที่ค้นพบนักเตะดีๆ ในชุดนั้นอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็น ริยาด มาห์เรซ, เจมี่ วาร์ดี้ หรือแม้กระทั่ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จน เคลาดิโอ รานิเอรี่ นำมาผสมผสานกระทั่งผลิดอกออกผลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์มาครองได้ แถมยังขายดาวเตะเหล่านั้นออกไปทำกำไรให้สโมสรอย่างมากมายอีกต่างหาก
ชีวิตหลังจากประสบความสำเร็จที่ เลสเตอร์ ซิตี้ เขาย้ายกลับทีมเก่าอย่าง เอฟเวอร์ตัน เพื่อรับตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาคอยดูแลเรื่องการซื้อ-ขายนักเตะ ต่อสัญญา รวมถึงเสาะหานักเตะฝีเท้าดีให้กับทีมทอฟฟี่เมน ทว่าหลังจากใช้จ่ายเงินราวๆ 150 ล้านปอนด์ตลอด 2 ซัมเมอร์ ปรากฏว่าผลงานของ เอฟเวอร์ตัน ก็ไม่ได้กระเตื้องแต่อย่างใดจนสุดท้ายเขาก็ต้องตกงาน
อย่างไรก็ตามด้วยผลงานเก่าๆ ทำให้เขาเป็นที่ยอมรับอย่างสูงในวงการนี้ แถมยังเคยทำงานร่วมกับกุนซือชั้นนำ รวมถึงสโมสรต่างๆ อย่างมากมาย อาทิเช่น เชลซี ที่เขาค้นพบ จานฟรังโก้ โซล่า และดีดิเย่ร์ ดร็อกบา 2 ตำนานของทีม รวมถึง นิวคาสเซิ่ล และฮัลล์ ซิตี้ นั่นทำให้มุมมองของเขาในงานนี้ถือว่ายอดเยี่ยมเอามากๆ
วันนี้เราจะพาไปดูเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเขา ว่าเขาค้นพบใครบ้าง แนะนำอะไรใครบ้าง และเคยแนะนำกุนซือแต่ละคนว่าอย่างไรบ้าง บอกเลยว่า เป็นเรื่องที่น่ารู้แทบทั้งสิ้น
ในปี 1990 วอลช์ ถูกเรียกตัวจาก เกวิน วิลเลี่ยมส์ หัวหน้าแมวมองของ เชลซี ในขณะนั้นให้ช่วยทำงานพาร์ทไทม์ในตำแหน่ง "นักวิเคราะห์คู่แข่ง" ก่อนที่จะได้งานในตำแหน่งดังกล่าวแบบถาวร
"ผมทำงานเป็นนักวิเคราะห์ในตอนนั้นเพื่อดูคู่แข่งขันของ เชลซี"
"คุณคิดดูสิ ! มันยังไม่มี DVD นะสมัยนั้น ไม่มีการบันทึกอะไรได้ทั้งนั้น ดังนั้นสิ่งที่ผมต้องทำ คือ ตาดู มือเขียน และทำเป็นรีพอร์ทส่งให้กับ เชลซี"
"ตอนผมอยู่ที่นั่น ผมเคยส่งงานให้ผู้จัดการทีมหลายต่อหลายคนทั้ง เกล็น ฮอดเดิ้ล, รุด กุลลิท และจานลูก้า วิอัลลี่"
"ผมทำงานกับหลายคนเลย โชเซ่ มูรินโญ่ ก็อยู่ที่นั่น หลังจากนั้นก็ อันเดร วิลลาช-โบอาส ก่อนจะมี แฟร้งค์ อาร์เนเซ่ เข้ามาเป็นผู้อำนวยการฟุตบอล แบรนแดน ร็อดเจอร์ส เองก็เคยคุมทีมยู-21 ของเชลซี, พอล คลีเมนต์ อีกที่เคยคุมทีมยู-16 ผมเติบโตมาท่ามกลางผู้คนเหล่านี้"
"มันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ สำหรับผม ผมตระเวนทั่วยุโรปได้ไปเห็นฟอร์ม โซล่า, ทอเร่ อังเดร โฟล, ดร็อกบา และทั้งหมดถูกเราเซ็นสัญญามาร่วมทีม มันอาจจะไม่ใช่ผลงานของผมทั้งหมด แต่ผมก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น"
"ผมสนิทกับ โบอาส มากกว่า มูรินโญ่ แต่ผมก็มีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับ โชเซ่ นะ เขาเป็นคนที่กระตุ้นทีมได้ดีมาก มีอยู่ครั้งนึงเราแพ้ สเปอร์ส 1-3 ซึ่งตอนนั้นเราเป็นจ่าฝูงของลีก ไม่มีใครคิดว่าเราจะแพ้ วันรุ่งขึ้นที่สนามซ้อมบรรยากาศมันคงแย่มากๆ แต่เขาเป็นคนที่พาเด็กๆ กลับสู่เกม เขามีคาแรคเตอร์ของผู้ชนะมากๆ จริงๆ"
"อย่างไรก็ตามผมคิดว่าช่วงหลังๆ โดยเฉพาะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด โชเซ่ สูญเสียความน่าเชื่อถือในเรื่องการเซ็นสัญญานักเตะไป เคยมีคนสัมภาษณ์ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เรื่องที่เขาใช้งานซื้อความสำเร็จ เป๊ป ตอบว่า 80% มันอยู่ที่การเลือกคน นั่น คือ ความจริงซึ่ง มูรินโญ่ พลาดไป"
"สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องไม่เซ็นสัญญาคว้าใครโดยไม่มีการแพลนมาก่อน อเล็กซิส ซานเชซ คือ ตัวอย่างชั้นดี ระหว่างซีซั่นที่ เลสเตอร์ คว้าแชมป์ เราแพ้ 3 ครั้งเท่านั้น แต่ 2 จาก 3 คือการแพ้ อาร์เซน่อล ซึ่ง อเล็กซิส เล่นดีมากๆ ทั้งสองเกมเลย แต่สุดท้ายมันก็แค่เกมๆ เดียว คุณต้องแพลนมาแล้วว่าจะเลือกนักเตะที่เหมาะกับคาแร็คเตอร์ของทีมคุณ"
"ตอนที่ โชเซ่ เซ็นสัญญา โรเมลู ลูกากู มาจาก เอฟเวอร์ตัน ผมเคยคุยกับเขา ผมเตือนเขาแล้วว่า ระวังให้ดีนะ ลูกากู มีนิสัยเด็กมากๆ เขาบอกผมว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เขารับมือได้ ที่ผมพูดแบบนั้น เพราะว่าผมมองว่า ลูกากู ไม่มีคาแรคเตอร์ที่จะอยู่ในทีมของ มูรินโญ่ เลย และไม่ได้ตอบโจทย์กับห้องแต่งตัวของทีมใหญ่ๆ"
"ทั้งเขา รวมถึง ป๊อกบา ที่ มูรินโญ่ เซ็นเข้ามา ผมมองตั้งแต่แรกแล้วว่า 2 คนนี้ไม่ได้มีคาแรคเตอร์ของทีมมูรินโญ่ เลย แต่สุดท้ายพวกเขาก็มา แล้วดูสิว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น พวกเขาให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าทีม นี่แหล่ะที่ผมบอกว่า นักเตะที่ดีบางคน ไม่ได้ทำให้ทีมดีขึ้นได้"
ไม่เพียงแต่รำลึกความหลังเท่านั้นเกี่ยวกับ โชเซ่ มูรินโญ่ อดีตแมวมองของ เลสเตอร์ คนนี้ยังพูดถึงประเด็นเสริมทัพของปีศาจแดง ในมุมมองของเขาอีกด้วย
"ยูไนเต็ด เซ็นสัญญานักเตะมากมาย ล่าสุดพวกเขาใช้ 50 ล้านปอนด์เพื่อ อารอน วาน บิสซาก้า ตอนนี้มันยังเร็วไปที่จะตัดสินในเมื่อเขายังพัฒนาได้อีก แต่สายตาของผมบอกผมว่า เมื่อเขามีลูกบอลอยู่ที่เท้า เขาไม่ใช่คนที่ดีที่สุด"
"มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า เขาแข็งแกร่ง รวดเร็ว มีเทคนิคที่ดี เป็นกองหลังที่ดี แต่ผมคิดว่า ยูไนเต็ด ไม่ได้ต้องการนักเตะที่เล่นเกมรับที่ดี พวกเขาต้องการใครสักคนที่เล่นกับบอลได้ดีจากตำแหน่งกองหลังมากกว่า"
"ถ้าผมอยู่ที่ ยูไนเต็ด ผมจะพูดว่า คุณวางเงิน 50 ล้านปอนด์นั่นซะ แล้วหันไปหา คีแรน ทริปเปียร์ ด้วยค่าตัวที่น้อยกว่านั้นครึ่งนึง เขาเป็นนักเตะระดับตัวจริงทีมชาติอังกฤษที่มีประสบการณ์ เป็นกองหลังชั้นยอด เขาเล่นแบ็กขวา เขาสร้างโอกาสให้กับกองหน้าได้มากกว่า อารอน แน่นอน"
ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่ เลสเตอร์ อยู่ในลีกล่าง วอลช์ ได้รับข้อเสนอให้ไปช่วยงานที่ ฮัลล์ ซิตี้ ซึ่งแน่นอน ช่วงนั้น ฮัลล์ อยู่ในลีกที่สูงกว่า และนั่นทำให้ วอลช์ เลือกที่จะผละจาก เลสเตอร์ ไป และนั่นเป็นช่วงเวลาที่กลุ่ม คิง พาวเวอร์ เข้ามาพร้อมแต่งตั้ง สเวน โกรัน-อีริคสสัน เข้ามาสู่ทีม
ทว่าหลังใช้จ่ายเงินมหาศาลกับนักเตะราวๆ หนึ่งโหล ผลงานกลับไม่เป็นดังคาด สเวน อยู่ได้แค่ปีเดียวเท่านั้น และทีมก็ดึง ไนเจล เพียร์สัน กลับมาคุมทีมอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนั้นก็ คือ ผลงานมหากาพย์บนเส้นทางชีวิตการเป็นแมวมองของ วอลช์ เลยทีเดียว
วอลช์ เป็นคนที่โน้มน้าวให้ทีมคว้าตัว อ็องโตนี่ น็อคอาร์ ปีกชาวฝรั่งเศส จาก แก็งก็อง ด้วยค่าตัว 2.5 ล้านปอนด์ เพราะเชื่อว่านี่ คือ นักเตะที่จะพาทีมขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ
"เขายอดเยี่ยมมากๆ" วอลช์ พูดถึง น็อคอาร์
"ทว่า ไนเจล ไม่ได้คิดแบบนั้น เขาไม่เคยศรัทธาในฝีเท้าของ อ็องโตนี่ เลย และนั่นทำให้นักเตะที่ดีที่สุดต้องอยู่บนม้านั่งสำรองเป็นส่วนใหญ่"
ขณะที่ปี 2012 เจมี่ วาร์ดี้ ถูกดึงตัวมาจาก ฟลี๊ตวู๊ด ทาวน์ ทีมนอกลีก หลังจากทีมแมวมองที่นำโดย วอลช์ ได้รับวีดิโอที่บ่งบอกถึงศักยภาพของ วาร์ดี้ ทั้งความเร็ว ทั้งพลัง และนั่นหมายความว่า เลสเตอร์ ของ เพียร์สัน จะมีแนวรุกที่อันตรายมากๆ ทั้งจาก น็อคอาร์ และวาร์ดี้ ทว่าสุดท้ายมันกลับไม่เป็นแบบนั้น
"จริงๆ อ็องโตนี่ เป็นนักเตะที่ดีมากๆ นะ ตอนที่เราคว้าแชมป์ลีก เขาเล่นร่วมกับ ริยาด มาห์เรซ ได้ดีมากๆ ในครึ่งฤดูกาลหลังของปี 2013/14 แต่ว่าเขาก็เป็นนักเตะที่น่าปวดหัวคนนึงของเพื่อนร่วมทีมเลยก็ว่าได้ เพราะว่าเราไม่รู้เลยว่าเขาจะออกบอลตอนไหน เขาจะเลี้ยงวนราวๆ 3-4 รอบก่อนที่จะโยนบอลเข้ามาตรงกลาง"
"ครั้งหนึ่ง เจมี่ วาร์ดี้ ถึงกับเอ่ยปากบอกผมว่า อย่าเซ็นนักเตะฝรั่งเศส เข้ามาอีก แม่งเป็นอย่างนี้ทุกคน ที่สำคัญเขาเซ็งกับ อ็องโตนี่ มากๆ ในฐานะกองหน้า"
"แต่หลังจากนั้นไม่น่าผมก็เซ็น ริยาด มาห์เรซ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เข้ามา ผมไปเจอ วาร์ดี้ ที่บ้านพักตากอากาศของเขาที่โปรตุเกส ผมจำได้เลยเขาพูดว่า ผมบอกแล้วไงอย่าเซ็นนักเตะฝรั่งเศสเข้ามา แล้วคุณก็เซ็น ก็องเต้ หลังจากนั้นเขาก็บอกว่า แล้วแต่ผมเลย เขาจะไม่พูดแล้ว 555"
หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ วอลช์ ช่วยทีมเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเมื่อเป็นแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในฤดูกาล 2013/14 แต่ปีแรกบนลีกสูงสุดพวกเขาต้องตกระกำลำบากพอสมควร ก่อนที่ เพียร์สัน จะพาทีมเอาตัวรอดได้แบบเหลือเชื่อในช่วงท้าย
ทว่าสุดท้ายกลุ่ม คิง พาวเวอร์ ก็ประกาศแยกทางกับ เพียร์สัน อยู่ดี ก่อนที่จะได้ตัว เคลาดิโอ รานิเอรี่ เข้ามาแทน
"ผมเป็นคนเดียวที่รู้จัก เคลาดิโอ เพราะผมเคยทำงานกับเขาที่ เชลซี ผมเป็นคนส่งรายงานให้เขา แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เลยนะว่า สโมสรจะตั้งใคร ผมกับ เคร็ก เช็คสเปียร์ ก็ปรึกษากันว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทันใดนั้นผมได้ก็ได้รับสายจาก จอน รัดกิ้น ผุ้อำนวยการฟุตบอล ว่าเราจะจับเจ็ทบินไปประชุมกับผู้จัดการทีมคนใหม่ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ ว่าเป็น เคลาดิโอ ที่ได้รับการแต่งตั้ง"
"คุณรู้มั๊ย ? นักเตะทั้งหมดเดาว่า แซม อัลลาไดซ์ จะเดินเข้าประตูมา เพราะข่าวลือช่วงนั้นหนักมากๆ แต่สุดท้ายเป็น เคลาดิโอ เดินเปิดประตูเข้ามา และเขาทักทายผมทันทีที่ได้เห็น ผมต้องรีบลุกขึ้นมาแนะนำนักเตะทีละคนๆ พวกนักเตะตกใจมากๆ วาร์ดี้ กับ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล เป็นคนแรกๆ เลยที่มีปฏิกิริยา แกรี่ ลินิเกอร์ ก็ถามแบบเดียวกันว่า โอ้ว ! จริงหรอเนี่ย พวกเขาดีใจกันมากๆ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมสุดๆ"
หลังช่วงเวลาที่น่าจดจำที่ คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม กับเสียงปรามาส 5000-1 ในการคว้าแชมป์ มันทำให้ถึงเวลาแล้วที่ วอลช์ ต้องก้าวต่อไป และอดีตทีมเก่าอย่าง เอฟเวอร์ตัน ก็ทาบทามเขาให้กลับไปเป็นผู้อำนวยการฟุตบอลที่นั่น และเขาก็ใช้เวลาไม่นานในการตอบรับหลังถึงจุดอิ่มตัวที่ เลสเตอร์ แม้สุดท้ายแล้วชีวิตในรั้ว กูดิสัน พาร์ค จะแสนสั้นเพียงแค่ 18 เดือนเท่านั้น
"ตอนอยู่ เอฟเวอร์ตัน ผมบอกให้พวกเขาซื้อ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสสัน กับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ตั้งแต่ตอนที่ 2 คนนี้ยังอยู่กับ ฮัลล์ ซิตี้ ซึ่งตอนนั้นค่าตัวรวมกันแค่ 20 ล้านปอนด์เอง แต่ เอฟเวอร์ตัน ก็ไม่ทำ"
"ผมเคยปิดดีลกับ จอนนี่ อีแวนส์ ก่อนที่เขาจะย้ายไป เลสเตอร์ อีก แต่ เอฟเวอร์ตัน ก็ไม่เอาอีก เช่นเดียวกับ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ กองหน้าดาวรุ่งที่ยิงไม่หยุดกับ ซัลซ์บวร์ก ในตอนนี้ ผมเองก็เคยคุยกับเจ้าตัว รวมถึงพ่อของเขาแล้ว ค่าตัวจบที่ 4 ล้านยูโร แต่ เอฟเวอร์ตัน ก็ส่ายหน้า"
ป่านนี้ เอฟเวอร์ตัน คงเสียดายนักเตะหลายๆ คนไม่น้อย ทั้งๆ ที่มีแมวมองระดับขั้นพญาเหยี่ยวในมือแต่สุดท้ายก็เค้นศักยภาพออกมาได้ไม่เต็มที่
ส่วนตัวของ วอลช์ เองหลังจากออกจาก เอฟเวอร์ตัน วอลช์ เองก็คงได้มีความสุขกับชีวิตมากขึ้นบนวัย 55 ปีที่เขาจะได้ย้อนชีวิตท่องเที่ยวเดินทางไปทั่วดูเกมฟุตบอลตามประเทศต่างๆ เหมือนเช่นชีวิตสมัยก่อน
แตกต่างกันกับจุดเริ่มต้นแค่เพียง...ทุกวันนี้เขาไม่ต้อง ตาหู มือจด เป็นระวิง ส่งรายงานให้ผู้จัดการทีมคนไหนอีกแล้ว
#สตีฟวอลช์ #ก็องเต้ #วาร์ดี้ #มาห์เรซ #มูรินโญ่ #ลูกากู #รานิเอรี่ #บอลไทย #บอลนอก #วีเออาร์
#อนาคตตัวเอง หรือ #คนเนรคุณ
มาห์เรซโบ้ย ! ฟอร์มหาย เพราะเสียเวลาที่ เลสเตอร์ 2 ปี
เปิดหน้าแลกแบบนี้ต้องเตรียมรับมือกับเสียงโห่จากกองเชียร์ที่ คิง พาวเวอร์ แน่นอนหากเมื่อใดก็ตามที่ แมนฯ ซิตี้ ยกพลบุกมาเยือน เลสเตอร์ หลังจากที่ ริยาด มาห์เรซ ปีกแอลจีเรียนตัวเก่งของทีมออกมาระบุว่า ที่เขาเล่นไม่ได้อย่างต่อเนื่องที่เอติฮัด สเตเดี้ยม เพราะว่า เขา "เสียเวลากับเลสเตอร์ถึง 2 ปีในช่วงที่ดีที่สุดของชีวิต"
หากยังจำกันไม่ได้เราพาคุณย้อนเวลาไปเมื่อฤดูกาล 2015/15 ที่ เลสเตอร์ ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ชนิดหักกปากกาเซียนทุกสำนัก โดยในปีนี้ มาห์เรซ กับ วาร์ดี้ รวมถึง ก็องเต้ โชว์ฟอร์มได้อย่างเยี่ยมยอดตลอดทั้งฤดูกาล จนบรรดาเพื่อนร่วมอาชีพโหวตให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของพรีเมียร์ลีก
อย่างไรก็ตามหลังคว้าแชมป์ลีก พ่วงดีกรีส่วนตัว คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม เริ่มจะเล็กไปแล้วสำหรับเจ้าตัว และก็ตกเป็นข่าวอย่างหนักว่า อาร์เซน่อล ในยุคของ อาร์เซน เวนเกอร์ พยายามจะคว้าตัวมาครองให้ได้ ทว่า เลสเตอร์ ก็รั้งแบบเอาตาย เพราะต้องการสร้างทีมเพื่อไปเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ท้ายที่สุดแล้ว เลสเตอร์ เป็นฝ่ายชนะในการศึกยกนี้เมื่อขวางไม่ให้ มาห์เรซ ย้ายทีมสำเร็จ จนนักเตะต้องปฏิบัติการ "ก่อกบฏ" ด้วยการไม่ยอมมาซ้อม ซึ่งก็แน่นอน เลสเตอร์ ต้องดร็อปออกจากทีม และทำงานหักค่าเหนื่อยเนื่องจากปฏิบัติตัวไม่เป็นมืออาชีพ ในขณะที่ยังมีสัญญากับสโมสร
มาวันนี้ มาห์เรซ ออกมาให้สัมภาษณ์ โดยเลือกที่จะโยนขี้ให้ เลสเตอร์ ว่า เขาเองกำลังอยู่ในช่วงที่เล่นได้ดีที่สุดในชีวิต และมีความทะเยอทะยานที่จะก้าวไปในระดับที่สูงขึ้นด้วยการย้ายไปเล่นทีมใหญ่ เพื่อสานต่อฟอร์มอันยอดเยี่ยม แต่ก็มาโดน "ขวางอนาคต" เอาไว้ และรู้สึกเสียดายเวลาเป็นอย่างมาก
"หลังจากคว้าแชมป์ลีก ถ้าผมได้ไปอยู่กับทีมชั้นยอดแล้วล่ะก็ เรื่องราวมันก็คงไม่เป็นเหมือนอย่างในทุกวันนี้หรอก สำหรับผมแล้วมันชัดเจนมากๆ ว่าผมเสียเวลาในตอนที่ตัวเองยังเล่นได้ดีที่สุดไปเปล่าๆ 2 ปีเต็ม"
"เอเยนต์ของผมได้คุยกับ อาร์เซน เวนเกอร์ แล้ว เขาอยากได้ผมไปร่วมทีมมากๆ ผมเกือบที่จะได้ย้ายไปอยู่กับ อาร์เซน่อล ในช่วงซัมเมอร์ ปี 2016 คุณคิดดูสิ คุณเป็นถึงนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ พีเอฟเอ แต่ต้องมาเป็นส่วนหนึ่งในทีมที่ต้องหนีตกชั้นใน พรีเมียร์ลีก"
โอ้โห ! เปิดตัวแรงแบบนี้เรียกเสียงเกรียวกราวจากพ่อยกแม่ยกอย่างแน่นอน เพราะในตอนที่เขาย้ายมาจาก เลอ อาฟร์ สู่ เลสเตอร์ นั้น ค่าตัวเพียง 5 แสนยูโรเท่านั้น และพูดตรงๆ เลยว่า แทบไม่มีใครรู้จักนักเตะรายนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงเป็นเครดิตของ เลสเตอร์ ในการให้โอกาสเขาได้เป็นที่รู้จัก และสร้างชื่อ
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่แรงพอสมควรทีเดียว กับ เรื่อง "บุญคุณ" ที่เป็นหลักใหญ่ของการใช้ชีวิตของคนเรา จริงอยู่ที่ มาห์เรซ มีส่วนในการพัฒนาตัวเองขึ้นมา ทว่าเขาเองก็มีบันไดในการต่อยอดตัวเอง นั่นก็ คือ เลสเตอร์ ที่ๆ ซึ่งเค้นศักยภาพของเขาออกมาได้มากที่สุดนับตั้งแต่เทิร์นโปรเล่นฟุตบอล
อย่างไรก็เหรียญมีสองด้านเสมอ...แล้วเราลองมาคิดในมุมของ มาห์เรซ บ้าง มนุษย์ทุกคนมีความทะเยอทะยานเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว มาห์เรซ เองก็คงคิดว่า ทุ่มเทใช้ความสามารถช่วยต้นสังกัดมาอย่างเต็มทีี่แล้ว และบุญคุณสุดท้ายที่เขาคิดก็ คือ เลสเตอร์ จะทำกำไรจากการขายเขาได้อย่างเต็มที่แน่นอน หลังซื้อมาสุดถูก
ตัวเขาเองที่อยู่ในระหว่างช่วงพีคอายุ 25 ปีในตอนนั้นก็จะได้เติมเต็มความฝันด้วยการย้ายไปเล่นในระดับ "ที่สูงขึ้น" ในทุกๆ วีคกับทีมใหญ่ และเขาอาจะกลายเป็นนักเตะระดับโลกไป ทว่าเมื่อไม่ได้ย้าย แถมโดนดร็อป รวมถึงตัดค่าเหนื่อย คนเราเมื่อใจไม่มามันก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ ด้วย
แม้ในปี 2018 เขาจะได้ย้ายมาเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ ตามที่เขาต้องการเมื่อ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอมทุ่มทุนสร้างกว่า 60 ล้านปอนด์ แต่เราก็เห็นแล้วว่า มาห์เรซ ที่ เลสเตอร์ กับ มาห์เรซ ที่ ซิตี้ ฟอร์มการเล่น หรือ ระดับของเกมไม่ได้เท่ากันเลย และนั่นทำให้ มาห์เรซ ออกมาจวก เลสเตอร์ ย้อนหลังว่า
#เป็นตัวถ่วงชีวิตของเขาถึง2ปีเต็มๆ
เรื่องนี้พูดยากครับระหว่าง "บุญคุณ" กับ "ความก้าวหน้าของชีวิตตัวเอง" แต่ถ้าเป็นคนไทยเรา เรานับถือเรื่องบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณในชีวิตมาก่อนอยู่แล้ว แต่อย่างฝรั่งเมืองนอกก็ไม่แน่ใจว่า เรื่องนี้จะใหญ่แค่ไหน พวกคุณคิดว่ายังไงครับ ?
#มาห์เรซ #เลสเตอร์ #อาร์เซน่อล #เวนเกอร์ #แมนซิตี้ #พรีเมียร์ลีก #บอลไทย #บอลนอก #วีเออาร์
เกม ลิเวอร์พูล ถล่ม แมนฯ ซิตี้ 3-1 มีแฮนด์บอลเกิดขึ้นแน่นอน
ต่อคำถามว่าที่ว่า "บอลโดนมือเทรนท์" มั๊ย ? คำตอบ คือ โดนชัดเจนนะครับ ซึ่ง ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินกลางสนามผายมือว่า ช็อตนี้ไม่แฮนด์บอล แถมเขาไม่เรียกดู VAR ย้อนหลังด้วย ถ้าสังเกตระหว่างถ่ายทอดสด และนั่นทำให้ผู้เล่นของ แมนฯ ซิตี้ ไม่พอใจอย่างหนัก
หลังเกม คณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพ (PGMOL) ซึ่งดูแลในเรื่องนี้ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าจังหวะดังกล่าวไม่มีเวลาเพียงพอให้นักเตะ (เทรนท์) นำแขนของเขาออกจากตำแหน่งนั้น และ "แขนอยู่ในภาวะปกติ" และ "ไม่ได้ทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้น"
จุดนี้แหล่ะครับที่เป็นประเด็น เพราะคำอธิบายมันผิด !!!
จากภาพช้าหลายๆ มุม รวมถึงภาพนิ่ง มันชัดเจนมากนะครับว่า เทรนท์ "เจตนา" กระตุกแขนขึ้น และทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้น ซึ่งเคสนี้ "ผิดธรรมชาติ" และสมควรเป็นจุดโทษอย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับ มาร์ค แคลตเท่นเบิร์ก อดีตผู้ตัดสินคนดังของพรีเมียร์ลีก ก็ออกมาระบุว่า "แขนของอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ และเขาใช้มันทำให้ตนเองตัวใหญ่ขึ้น"
ที่สำคัญนะครับหากจังหวะนี้ไม่โดนแขนของ เทรนท์ หยุดเอาไว้ทิศทางของบอลจะไปถึง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ได้ดวลเดี่ยวกับ อลีสซง เบ็คเกอร์ อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม "ความจริง" ก็ คือ มันมีอีกหนึ่งกฎที่ทำให้เคสนี้ต้องเปลี่ยนไป คือ กฎที่ว่าด้วยคำว่า "หากบอลโดนแขนฝ่ายรุกในเขตโทษไม่ว่าเจตนา หรือไม่ จะถือว่าเป็นจังหวะแฮนด์บอลทันที"
กฏนี้แหล่ะครับที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งของเคสนี้ เพราะก่อนที่บอลจะแฉลบมาโดนแขน ของ เทรนท์ นั้น มันถูก "เปลี่ยนวิถี" ของบอลด้วย "แขนของแบร์นาร์โด้ ซิลวา"
ถ้า "ไม่โดน" แขน แบร์นาร์โด้ แล้วมาโดนแขนของ เทรนท์ อันนี้ต้องจุดโทษ แต่ในมือมันโดนแขนของ แบร์นาร์โด้ ก่อนนั่นเท่ากับว่า การ "แฮนด์บอลของฝ่ายรุก" เกิดขึ้นแล้ว
จากภาพช้าที่เราเห็นนั่น คือ แบร์นาร์โด้ ตะลุยไปก่อนที่บอลจะแฉลบขึ้นมาแล้วโดนช่วงแขนท่อนบนเกือบจะถึงหัวไหล่ ทำให้บอลเปลี่ยนทิศกระดอนไปจะเข้าทาง "กุน" หรือ สเตอร์ลิ่ง แต่โดน เทรนท์ หยุดเอาไว้ด้วยมือ
ดังนั้น คำอธิบายของ คณะกรรมการผู้ตัดสินฟุตบอลอาชีพ (PGMOL) ที่อธิบายว่า เทรนท์ "ไม่แฮนด์บอล" เพราะ แขน "ปกติ" และไม่ทำให้ "ตัวใหญ่ขึ้น" ถือว่า อธิบายผิด !!!!!
เทรนท์ แฮนด์บอลชัดเจน และเจตนาด้วย ผมยืนยัน ทว่าสิ่งที่ "เกิดขึ้นก่อน" คือ การแฮนด์บอลของฝ่ายรุกอย่าง แบร์นาร์โด้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว เคสแบบนี้ ผู้ตัดสินจะรอให้ลูกตายก่อนแล้วค่อยมาดู VAR แต่ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ก็ไม่ได้ดู เพราะสุดท้ายแล้ว ฟาบินโญ่ ยิงเข้า ทำให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องมารื้อฟื้นแล้ว เนื่องจากตอนแรก ทีมที่ควรได้ฟาวล์จากแฮนด์บอล ก็ คือ ลิเวอร์พูล
ดังนั้นเคสนี้ ผมยืนยันด้วยการ "เสี่ยงโดนถล่มจาก Social" เลยว่า เป็นจังหวะแฮนด์บอล "ล้านเปอร์เซ็นต์" ครับ
แต่เป็นแฮนด์บอลของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา !!!
มีคนถามว่า ทำไมเป็นแฮนด์บอลของ แบร์นาร์โด้ แต่ผู้ตัดสินไม่หยุดเกม นั่น คือ ดุลยพินิจของผู้ตัดสินที่มองว่า บอลอยู่ในการครอบครองของ "ฝ่ายเสียประโยชน์แล้ว" และกำลังจะ "เปลี่ยนจากเกมรับเป็นเกมรุก"
เมื่อ ลิเวอร์พูล ยิงได้จากจังหวะต่อเนื่องก็เป็นอันนี้ช็อตนี้เคลียร์ครับ ยกผลประโยชน์ให้จำเลย ทุกอย่างถูกต้อง
เพียงแต่ว่า "คำอธิบาย" จากคณะกรรมการนี่แหล่ะครับที่ "ผิด" และเป็นตัวปัญหาซึ่งสร้างความแตกแยกกับให้แฟนบอลอย่างแท้จริง !!!
ส่วนในเคสจุดโทษที่ 2 ที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เตะบอลติดมือของ เทรนท์ อีกครั้งนั้น เคสนี้ คือ เคสแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษ
แต่นี่ไงครับ มันขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจของผู้ตัดสิน" ผู้ตัดสินบางคนมองว่าแฮนด์บอล ในขณะที่บางคนบอก "บอลทูแฮนด์" ไม่ฟาวล์ และที่สำคัญ "มาตรฐาน" กับ "ดุลยพินิจ" ของแต่ละลีกก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย
ขอบคุณเครดิตจาก "เพจโยอันน์ v.2" เพจเด็กผีที่อธิบายเคสเด็กหงส์ให้กระจ่าง ที่อนุญาตให้ใช้ข้อมูล
#วีเออาร์ #โยอันน์ #ลิเวอร์พูล #แมนซิตี้ #แฮนด์บอล #จุดโทษ #เทรนท์ #แบร์นาร์โด้
เสือใต้จะ "เลือก" หรือจะ "รอ ? เวนเกอร์-ทูเคิ่ล-เทนฮาก ใครเข้าวิน
กลายเป็นเรื่องวุ่นๆ หลังจากออกสตาร์ตลีกมาไม่นานสำหรับยักษ์ใหญ่แห่งบาวาเรียน หลัง นิโก้ โควัช พาทีมบุกไปโดน แฟร้งค์เฟิร์ต ถลุงเละเทะหมดสภาพ 1-5 จนกระเด็นตกเก้าอี้ไปเรียบร้อย
จริงๆ เดิมทีนี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกต้องของบอร์ดบริหาร บาเยิร์น มิวนิค และแฟนๆ ก็ไม่ได้ถูกใจสักเท่าไหร่ เนื่องด้วยบารมีที่สั่งสมมาค่อนข้างน้อย ยังดีที่ถาดแชมป์บุนเดสลีกา ฤดูกาลที่แล้วเป็นเกราะป้องกันตัว
ข่าวลือที่หลุดออกมาหลัง โควัช กระเด็นตกเก้าอี้ คำตอบของมันอยู่ที่แค่ว่า โจทย์เดิมในตอนแรกที่บอร์ดบริหารมองอยู่ คือ อะไร และ คือ ใคร ก็เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่า บรรดาบิ๊กๆ "เสือใต้" มีตัวเลือกอยู่ในใจแล้ว
เต็ม 1-2 ที่ตีคู่กันมาตามที่เป็นข่าวชัดเจนว่า คือ โทมัส ทูเคิ่ล อดีตกุนซือของดอร์ทมุนด์ ที่ตอนนี้คุม เปแอสเช เบอร์ 1 แห่งเมืองน้ำหอม กับ เอริค เทน ฮาก เทรนเนอร์ไฟแรงของ อาแจ๊กซ์ ที่พาทีมไปถึงรอบตัดเชือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีก่อน
เรื่องของเรื่องก็ คือ ทั้งคู่ "ไม่พร้อม" ที่จะสละทีมกลางทางระหว่างฤดูกาล และนั่น คือ ปัญหาใหญ่ที่บอร์ดบริหารของ บาเยิร์นฯ ต้องขบคิดระหว่างที่ใช้ ฮานซี่ ฟลิค คุมทัพชั่วคราวไปก่อน
ทูเคิ่ล ทรงบอลสวยงาม คุ้นเคยกับนักเตะบุนเดสลีกา เป็นอย่างดี เคยฝากฝีไม้ลายมือกับ ดอร์ทมุนด์ มาแล้ว แต่ตอนนี้ ปารีสฯ กำลังลุ้นทุกแชมป์ และการเจรจากับ นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ประธานบริหารปารีสฯ ไม่เคยเป็นเรื่องง่ายไม่ว่าจะเคสสนักเตะ หรือ กุนซือ
เทน ฮาก คือ อีกชื่อที่มีความเป็นไปได้เนื่องจากเคยเป็น "คนใน" ของสโมสรมาก่อน โดยเขาเองเคยคุมทีมเยาวชน หรือว่าทีมสำรองของ บาเยิร์นฯ มานั่นเอง แถมสไตล์การเล่นเย้ายวน ชวนเพลิดเพลิน
ทว่าเป็นตัว เทน ฮาก เองที่สยบกระแสข่าวลือที่ตัวเขาพัวพันทั้ง บาร์เซโลน่า และบาเยิร์นฯ ว่า "อย่างน้อยๆ" เขาจะอยู่คุมยอดทีมแห่งแดนกังหันลมจนถึงจบฤดูกาล และจะไม่ไหไหนระหว่างซีซั่น
คำถามเดิม คือ บาเยิร์นฯ จะเอาอย่างไรกับช่วงที่เหลือของฤดูกาล ?
และนั่นเป็นที่มาของข่าวที่ว่า บอร์ดบริหารของ บาเยิร์นฯ นำโดย คาร์ล-ไฮน์ รุมเมนิเก้ ที่เปิดการเจรจากับ อาร์เซน เวนเกอร์ อดีตกุนซือของ อาร์เซน่อล ที่กำลังว่างงานอยู่พอดี
อย่างไรก็ตามมันก็มีข่าวตามมาทันทีว่า เวนเกอร์ เป็นคนปฏิเสธงานนี้ไปแล้ว หลังจากบอร์ดของ บาเยิร์นฯ มองเขาเป็นแค่ตัวเลือก "ขัดตาทัพ" จนจบซีซั่นเพื่อรอ ทูเคิ่ล หรือ เทน ฮาก เท่านั้น
ก่อนที่ล่าสุด เวนเกอร์ จะออกมายอมรับผ่าน Bein Sports ว่า ได้มีการ "พูดคุยกับตัวแทนจากบาเยิร์นฯ จริง"
"ขอบคุณที่ให้ผมมีโอกาสได้อธิบายรายละเอียด อย่างแรกเลย ผมไม่มีเอเยนต์ ไม่มีใครสามารถพูดในฐานะตัวแทนของผม"
"อย่างที่สอง ผมรู้จักกับ เบคเคนเบาเออร์, รุมเมนิกเก้ และอูลี่ เฮอเนส มานานกว่า 40 ปี เรามักคุยกันโดยตรง"
"ถ้าคุณถามผมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ? ก็ง่ายๆ ช่วงบ่ายของวันพุธ รุมเมนิเก้ โทรมาหาผม ผมรับสายไม่ได้ในตอนนั้น แต่ผมโทรกลับหาเขา ระหว่างที่เขากำลังอยู่ในรถ เพื่อไปชมเกมที่พบ โอลิมเปียกอส"
"เราคุยกันประมาณ 4-5 นาที โดยเขาบอกว่าจะให้ ฟลิค เป็นกุนซือรักษาการ ทำหน้าที่ 2 เกมหน้า เขาถามว่าผมสนใจไหมที่จะรับงาน"
"ผมบอกกับเขาว่า ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย ขอเวลาคิด เราเลยตัดสินใจที่จะคุยกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า เพราะว่าผมยังต้องอยู่ที่โดฮา จนถึงคืนวันอาทิตย์ นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด"
จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ เวนเกอร์ เท่านั้นที่ตกเป็นข่าวเรื่อง "ขัดตาทัพ" เพราะ ราล์ฟ รังนิค ปรมาจารย์ชั้นเซียนที่เคยคุม แอร์เบ ไลป์ซิก และตอนนี้ก็ตกเป็นข่าวเรื่อง ผอ.กีฬาของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็อยู่ในสายตาของผู้บริหาร บาเยิร์นฯ เช่นกัน
ทว่าสุดท้ายแล้วตัวเลือกนี้ถูกบอร์ดบริหารตีตกไปด้วยเหตุผลที่ว่า บาเยิร์นฯ ไม่แน่ใจว่า ด้วยนักเตะที่มีอยู่จะเหมาะกับแท็คติก "high-energy pressing" ของ รังนิก หรือไม่ และอาจก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำตามมา
ถามว่าโอกาสที่ ฮานซี่ ฟลิค จะได้คุมจนจบซีซั่นมีมั๊ย ? ก็ต้องบอกว่ามี ทว่าเป็นไปได้ยากยิ่งเมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์ในเวทียุโรป ยิ่งถ้าหาก "เสือใต้" พลาดพลั้งต่อ ดอร์ทมุนด์ ในคืนนี้ บางทีเรื่องอาจจบเร็วกว่าที่คิด
ย้อนกลับมาคำถามเดิม...บาเยิร์นฯ จะตัดสินใจยังไง ?
เพราะดูเหมือนพวกเขาอยากที่จะได้ตัว ทูเคิ่ล หรือ เทน ฮาก เหลือเกิน ทว่ากุนซือที่พวกเขาหวังที่จะให้ "ขัดตาทัพ" รอจน 2 คนนั้นว่างในช่วงซัมเมอร์หน้า กลับไม่อยากเป็นแค่ "คนคั่นเวลา"...
#เวนเกอร์ #บาเยิร์น #ทูเคิ่ล #เทนฮาก #ฟลิค #รุมเมนิเก้ #วีเออาร์ #บอลไทย #บอลนอก
อนาคตแห่งบาร์ซ่า ! คูมัน หรือ กายาร์โด้
เป็นที่พูดถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับสำหรับอนาคตของ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เทรนเนอร์คนปัจจุบันของ บาร์เซโลน่า หลังพาลูกทีมมีผลงานที่ไม่น่าประทับใจจนเกิดเสียงโห่ลั่นสนามคัมป์ นู
จริงๆ ก่อนหน้านี้ บัลเบร์เด้ เองไม่ใช่ตัวเลือกที่ถูกใจสำหรับเหล่าสาวกอาซูลกราน่า อยู่ก่อนแล้ว ทว่ามีเกราะป้องกันชั้นยอดอย่าง ตำแหน่งแชมป์ ลา ลีกา 2 สมัยติด และดับเบิ้ลแชมป์อีก 1 ปีคุ้มภัยอยู่
ทว่าด้วยการลงทุนในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น แฟร้งกี้ เดอ ยองก์ จาก อาแจ๊กซ์ หรือแม้แต่ อ็องตวน กรีซมันน์ ที่ทุ่มทุนสร้างจาก แอต.มาดริด แม้โดนสาปส่ง (เคสแอบเจรจาติดต่อล่วงหน้า) กลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
หะแรกดูเหมือนสถานการณ์ของ บาร์ซ่า และบัลเบร์เด้ จะกลับมาดีๆ แล้วหลังชนะ 7 เกมรวดจนทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งจ่าฝูงของ ลา ลีกา ทว่ากลับมาสะดุดใน 2 เกมล่าสุดที่บุกโดน เลบันเต้ ถล่ม 3-1 และเสมอ สลาเวีย ปราก โนสกอร์ในคัมป์ นู
ว่ากันว่าที่ผ่านๆ มามัน คือ อิทธิฤทธิ์ในการพลิกสถานการณ์ของ ลีโอเนล เมสซี่ ซุปตาร์เบอร์หนึ่งของทีมมากกว่าในการเค้นชัยชนะแต่ละนัดให้ลูกทีม แทนที่จะเป็นการแก้เกมของผู้เป็นเทรนเนอร์
ถึงตอนนี้ทั้งแฟนบอลบาร์ซ่า ที่ คาตาลัน รวมถึงในเมืองไทย ต่างร้องยี๊เป็นเสียงเดียวกันกับ บัลเบร์เด้ แล้วอยู่ที่ว่า บอร์ดบริหารของ บาร์ซ่า จะเอายังไงก็เท่านั้น ซึ่งดูแล้วไม่น่าอยู่ได้นาน
อาจจะไม่ใช่ในเร็ววันนี้ (หากผลงานไม่เละเทะ) แต่ท้ายที่สุดก็คาดว่า "อย่างช้า" คงจะเป็นซัมเมอร์หน้าที่ บาร์ซ่า จะถึงเวลาเลือกนายใหม่เสียที ซึ่งแต่เดิมตัวเต็งมีอยู่ 3 คน คือ โรนัลด์ คูมัน ของ ทีมชาติฮอลแลนด์, เอริค เทน ฮาก ของ อาแจ๊กซ์ และมาร์เซโล่ กายาร์โด้ ของ ริเวอร์เพลท
ที่สุดแล้วจากตัวเลือกทั้ง 3 ถึงวันนี้จากข่าว จากเสื่อ จากการวิเคราะห์ต่างๆ เหลือเพียงแค่ 2 เท่านั้น คือ อดีตเด็กเก่าของพวกเขาเองอย่าง คูมัน หรือ กายาร์โด้ ที่ว่ากันว่า คือ เบอร์ 1 ฝั่งละตินในยุคนี้
ทำไมไม่ใช่ เทน ฮาก ? นั่นก็เพราะว่าสายสัมพันธ์อันดีระหว่างเขา กับ บาเยิร์นฯ ที่เคยคุมทีมสำรองนั่นเอง แถม "เสือใต้" มีการปลด นิโก้ โควัช ไปแล้ว ที่สำคัญ เทน ฮาก เคยเอ่ยปากว่า "เขายังคงคิดถึงบาวาเรียนเสมอ"
ตัดตัวเลือกออกไปเหลือแค่ คูมัน กับ กายาร์โด้ รายแรกไม่ต้องคิดเยอะเลย เพราะนี่ คือ อดีตลูกหม้อของทีมที่เคยพาทีมเป็นแชมป์ยุโรปมาแล้ว แถมเป็นกำลังหลักของทีมอีกด้วยในยุคหนึ่งที่เคยเกรียงไกร
ปรัชญาลูกหนังแบบบาร์ซ่าเต็มขั้น แถมเขาเองมี "ออปชั่นพิเศษ" กับ บาร์เซโลน่า อีกด้วย ซึ่งสหพันธ์ฟุตบอลฮอลแลนด์ เองก็ออกมายอมรับว่า "ถ้าบาร์ซ่า ติดต่อมาจริงในช่วงซัมเมอร์ก็มีออปชั่นที่จะปล่อยตัว"
คูมัน เองก็เคยพูดว่าไว้ว่า "ใช่ ! มันมีออปชั่นเฉพาะเจาะจงกับ บาร์ซ่า ถ้าพวกเขาติดต่อมา แต่ต้องเป็นหลังจากจบยูโร 2020 เท่านั้น และผมจะไม่ออกจากตำแหน่งกลางครันอย่างแน่นอน (สัญญาถึงปี 2022)
ชัดเจนครับ บาร์ซ่า-คูมัน-ฮอลแลนด์ มีสัญญาใจต่อกัน
ส่วน กายาร์โด้ จริงๆ แล้วไม่ใช่ชื่อ (ในฐานะเทรนเนอร์) ที่เป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่นักในยุโรป ทว่าเขาเองก็เคยมาค้าแข้งที่ยุโรปมาก่อนแล้ว ทว่าที่พิเศษก็ คือ นี่คือ "คนบ้านเดียวกับเมสซี่" ซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าเป็นขาใหญ่ของสโมสรนั่นเอง
ผลงานกับ ริเวอร์เพลท เองก็ถือว่ายอดเยี่ยม ถ้านับเฉพาะในละตินตอนนี้ ถือว่าเขา คือ เบอร์หนึ่ง และบาร์ซ่า เองก็เคยใช้โค้ชละตินมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดก็ เคราร์โด้ มาร์ติโน่ นั่นแหล่ะ
สไตล์การเล่นก็ไม่แตกต่างจากบาร์เซโลน่า มากนัก แถมเขายังเคยถูกพูดถึงจากบอร์ดบริหารของ บาร์ซ่า รวมถึง "คนใน" ของบาร์ซ่า มาแล้ว ขณะที่ล่าสุดเพื่อนสนิทของเขายังออกมาให้สัมภาษณ์อีกด้วยว่า
"ผมเชื่อว่าเพื่อนของผมจะเป็นโค้ชใหม่ของ บาร์เซโลน่า ในเร็วๆ นี้แน่นอน"
ง่ายๆ ว่านี่ คือ ทางเลือกกรณีที่ บาร์ซ่า สั่งปลด บัลเบร์เด้ ในเวลาอันใกล้นี้ เพราะ เทน ฮาก กับ คูมัน ไม่ต้องการออกจากต้นสังกัดเดิมกลางฤดูกาลนั่นเอง และหาก กายาร์โด้ โชว์ผลงานได้ดีก็คงได้อยู่แบบยาวๆ
มารอดูกันว่าสุดท้ายแล้ว บาร์เซโลน่า จะได้ใครมาเข้าวิน แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ชายชื่อ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ ชัวร์
#บาร์ซ่า #คูมัน #เทนฮาก #กายาร์โด้ #ฮอลแลนด์ #ลาลีกา #ริเวอร์เพลท #วีเออาร์ #บอลไทย #บอลนอก